วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนูกัดหิน

หนูกัดหิน

         กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเศรษฐีอยู่ผู้เขาหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี  ชอบแต่ที่จะเที่ยว  กิน  เล่น  เลี้ยงเพื่อนฝูง   ไม่เคยนึกที่จะทำมาหากินเลย  บิดามารดาจะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็หาได้เชื่อฟังไม่


ในที่สุดเศรษฐีคนนั้นก็ตรอมใจตาย  แต่ก่อนที่จะตายไปนั้นได้เอาเงินกับทองใส่ไว้ในตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้   และด้วยคุณงามความดีเขาที่ได้สั่งสมมา    ส่งผลให้เศรษฐีได้ไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนลูกของเศรษฐีเมื่อบิดามารดาตายไปแล้วก็ยิ่งได้ใจใหญ่ เอาแต่ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน  เที่ยวเตร่เสเพล สนุกสนานไปวันๆ    ใช้เวลาไม่นานเงินก็หมดลง  เพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมไปมาหาสู่ก็หายหน้าไปทีละคน  ต่อมาวันหนึ่งได้มีเพื่อนมาชวนไปกินเลี้ยงกันตามปกติ  โดยได้กำชับกับลูกเศรษฐีตกยากว่า ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยงจริงๆ ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง ลูกเศรษฐีอยากไปกินเลี้ยงมาก  ถึงแม้ตนจะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังดิ้นรนขวนขวายหาไก่ได้ตัวหนึ่งมาจนได้  แล้วจึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขนออก  แล้วห่อใบตองเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง


ครั้นออกเดินมาได้สักครู่หนึ่ง    เพราะความเหน็ดเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างทางแล้วเผลอหลับไป  บังเอิญในที่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้    ได้กลิ่นเนื้อไก่โชยออกมาจากใบตอง มันจึงบินลงมาโฉบเอาห่อใบตองไปเขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า

พอเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงกันไว้ก็เล่าให้เพื่อนๆฟัง   แต่กลับไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลยต่างคนก็ต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา   จึงแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัว   แถมเขายังถูกเพื่อนฝูงในงานพูดจาเยาะเย้ยถากถางเอาเสียอีกด้วย  ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา   แล้วยังไปโทษอีกาอีก


ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บใจและอายตัดสินใจที่จะไม่ไปร่วมวงกินเลี้ยงด้วย    รีบเดินทางกลับมาบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย  นึกถึงเมื่อสมัยอดีตที่ตนมั่งมี  มีเพื่อนฝูงล้อมหน้าล้อมหลัง  แล้วก็บังเกิดความเสียใจกินไม่ได้  นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง


ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกดังนั้นก็อดที่จะสงสารเสียไม่ได้   จึงมาเข้าฝันลูกว่า

นั่นแหละลูกเอ๋ย   เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง เมื่อยามลำบากยากจน  ใครเขาจะมานับถือเจ้า พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่  พ่อแม่จะช่วยนั่นแหละลูกเอ๋ย   เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้าไปแล้วเรื่องการใช้เงินใช้ทอง เมื่อยามลำบากยากจน  ใครเขาจะมานับถือเจ้า พูดเรื่องจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้าจงรู้สึกตัวและให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่  พ่อแม่จะช่วยเจ้าเองเจ้าเอง

ในความฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้     จึงได้ออกปากสัญญากับพ่อแม่ว่า     ต่อไปนี้จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม   แล้วจะปรับปรุงตัวจะตั้งใจทำมาหากิน  ก่อร่างสร้างตัว  เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ  จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกตนได้อีกต่อไปเมื่อเทวดาพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นจากลูกก็พอใจเป็นยิ่งนัก  เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัว
เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนของตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง


พอลืมตาตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทองตามในฝัน  ก็พบตุ่มเงินตุ่มทองจริงตามความฝัน จึงได้นำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งอกตั้งใจทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง  ไม่นานก็กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้พอมีฐานะกลับขึ้นมาอีก  เพื่อนที่เคยหนีหายไป  ก็เริ่มกลับเข้ามาคบค้าสมาคมเพิ่มขึ้นทุกวัน


ลูกเศรษฐียังคงจดจำวันที่ถูกเพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืมเลือน  อยู่มาวันหนึ่งลูกเศรษฐีได้เห็นโอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อยังร่ำรวยอย่างแต่ก่อน  เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากัน  และในขณะที่กินเลี้ยงกันอยู่อย่างสนุกกสนานเฮฮากันอยู่นั้น  ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆที่มีแต่ด้ามเท่านั้น    มาให้เพื่อนดูเล่มหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า


แหมๆมันอัศจรรย์จริงๆ    มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่   แท้ๆ    ทิ้งไว้แค่ข้ามคืนหนูกลับมากัดเสียจนหมดเหลือเท่านี้เอง


บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็รับคำเชื่อตามคำพูดนั้น    บางคนก็ประสมโรงว่า  “เป็นจริงเหมือนเพื่อนพูดหนูนี่มันร้ายกาจนัก    มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกับเพื่อนเลย    เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิดเพื่อนคนอื่นๆก็พูดว่า  ”ใช่ๆ”   กันคนละคำสองคำ ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่า


ยามเมื่อเรายากจนจะถูกคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก    ต่อให้พูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ    แต่เมื่อถึงยามมั่งมีร่ำรวย    จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จก็มีคนยอมรับเชื่อถือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น